25 ธันวาคม, 2551

วิธีทานปลาดิบอย่างปลอดภัย

ปัจจุบันคนไทยนิยมรับประทานปลาดิบกันมากขึ้น โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ที่ได้รับอิทธิพลของอาหารญี่ปุ่น ด้วยรสชาติ และ หน้าตาของอาหารที่ดูสะดุดตาชวนให้น่ารับประทาน ทำให้แทบจะไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าไม่เคยลิ้มลองอาหารจำพวก ข้าวปั้นซูชิ ซาซิมิ ที่มีปลาดิบเป็นส่วนประกอบ
       ปลาดิบ มี 2 ชนิดใหญ่ๆ คือ ปลาดิบน้ำจืด และ ปลาดิบน้ำเค็ม (ปลาดิบทะเล) ซึ่งปลาดิบทั้ง 2 ชนิด มีเชื้อโรคที่แอบแฝงมาแตกต่างกัน ปลาดิบน้ำจืด อาจพบพยาธิบางชนิดแอบแฝงมา เช่น พยาธิตัวจี๊ด พยาธิใบไม้ในตับ พยาธิใบไม้ลำไส้ ฯลฯ คนส่วนมากมักคิดว่า ปลาน้ำเค็มนั้นไม่มีพยาธิ แต่ในความจริงในปลาน้ำเค็มนั้นอาจพบ ตัวอ่อนของพยาธิอะนิซาคิส (Anisakis simplex)ได้ แต่โชคดีที่การพบพยาธิในปลาน้ำเค็มนั้นพบน้อยกว่าในปลาน้ำจืดมาก และ พยาธิในปลาดิบน้ำเค็มก็มีความรุนแรงน้อยกว่าด้วย นอกจากนี้ปลาดิบที่นำมาประกอบอาหารญี่ปุ่นมักจะทำจากปลาน้ำเค็ม
       อย่างไรก็ตามอย่าพึ่งชะล่าใจว่ากินปลาดิบน้ำเค็มจะปลอดภัย 100% พยาธิอะนิสซาคิส ถึงแม้ไม่พบบ่อย ไม่ถึง 10 รายต่อปี ในประเทศสหรัฐอเมริกา แต่ก็ก่อความรุนแรงได้มาก

มารู้จักพยาธิอะนิซาคิสกันเถอะ
       พยาธิอะนิซาคิส (Anisakis simplex) เป็นพยาธิที่พบในปลาทะเลเขตอบอุ่น และ เขตร้อน ในประเทศไทยตรวจพบ ตัวอ่อนของพยาธิชนิดนี้ในปลามากกว่า 20 ชนิด เช่น ปลาดาบเงิน ปลาตาหวาน ปลาสีกุน ปลาทูแขก ปลากุแรกล้วย ปลาลัง เป็นต้น ส่วนในต่างประเทศจะพบในปลาจำพวก ปลาคอด ปลาแซลมอน ปลาเฮอริ่ง ระยะตัวอ่อนที่ติดต่อสู่คนจะอยู่ในอวัยวะภายในช่องท้องของปลาทะเล มองเห็นด้วยตาเปล่าได้ ขนาดยาวประมาณ 1-2 ซม. กว้างประมาณ 0.3-0.5 มม. บริเวณปากจะมีหนามขนาดเล็ก บริเวณปลายหางจะมีส่วนแหลมยื่นออกมา พยาธิชนิดนี้จะใช้หนามขนาดเล็ก และใช้ปลายหางแหลมในการไชผ่านเนื้อเยื่อต่างๆ

อาการผิดปกติซึ่งเกิดจากพยาธิอะนิซาคิส
       เนื่องจากพยาธิชนิดนี้ขณะเป็นตัวอ่อนระยะติดต่อสู่มนุษย์ บริเวณปากของพยาธิจะมีหนามขนาดเล็กและปลายหางแหลม ขณะเคลื่อนที่ไชในกระเพาะอาหาร และ ลำไส้ของคน ทำให้เกิดแผลขนาดเล็ก และ อาจทำให้มีเลือดออกในกระเพาะอาหารได้ ส่งผลให้ผู้ที่มีพยาธิชนิดนี้ในกระเพาะอาหารและลำไส้ มีอาการ ปวดท้อง แน่นท้อง คลื่นไส้ ท้องอืด อาการมักไม่เฉพาะเจาะจงคล้ายกับอาการของโรคกระเพาะอาหาร บางรายอาจมีอาการท้องเสีย หรือ ถ่ายอุจจาระเป็นเลือดถ้ามีแผลในกระเพาะขนาดใหญ่ อาการมักจะเริ่มเกิดหลังรับประทานอาหารที่มีพยาธิชนิดนี้ เป็นชั่วโมง หรือ เป็นวันก็ได้

การวินิจฉัย และ การรักษาโรคซึ่งเกิดจากพยาธิชนิดนี้
       การวินิจฉัย และ การรักษาทำโดยการส่องกล้องตรวจกระเพาะอาหาร ถ้าพบตัวอ่อนของพยาธิชนิดนี้ก็ใช้กล้องคีบตัวพยาธิออก พยาธิชนิดนี้ไม่สามารถตรวจพบได้ในอุจจาระ เนื่องจากมันจะเกาะติดแน่นกับกระเพาะอาหาร และ ลำไส้
       ปัจจุบันยังไม่มียาที่ใช้รักษาพยาธิชนิดนี้ แต่จาการศึกษาในประเทศญี่ปุ่น โดยหัวหน้าทีมวิจัย โตชิโอะ ลิยาม่า พบว่า วาซาบิ มีฤทธิ์ในการฆ่าพยาธิชนิดนี้ได้ แต่ขนาด และ ปริมาณการใช้ฆ่าพยาธิชนิดนี้ ยังอยู่ในขั้นตอนการศึกษา ถึงอย่างไรก็ตามการป้องกันการติดพยาธิชนิดนี้ ยังเป็นสิ่งที่สำคัญ และ ดีที่สุด

กินปลาดิบอย่างไร ไม่ให้เป็นพยาธิ
       ก่อนอื่นควรต้องแน่ใจว่า ปลาดิบที่นำมาทำอาหารนั้นเป็นปลาทะเล เพราะ บางครั้งผู้ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์นำปลาน้ำจืดหลายชนิดมาทำอาหาร ทำให้เกิดโรคพยาธิตัวจี๊ด พยาธิใบไม้ในตับ หรือ พยาธิใบไม้ลำไส้ซึ่งมีความรุนแรงมากกว่า
       การแช่แข็งที่อุณหภูมิต่ำกว่า -35 องศาเซลเซียส อย่างน้อย 15 ชั่วโมง หรือ ต่ำกว่า -20 องศาเซลเซียส อย่างน้อย 7 วัน หรือ ผ่านความร้อนมากกว่า 60 องศาเซลเซียส อย่างน้อย 5 นาที ก่อนการประกอบอาหารจะทำให้พยาธิชนิดนี้ตายได้
       นอกจากพยาธิบางชนิดที่พบในปลาดิบ แล้วยังพบแบคทีเรียบางชนิด และ ไวรัสตับอักเสบเอ
ได้ด้วย โดยขึ้นกับสุขอนามัย และ ความสะอาดของขั้นตอนการเตรียมอาหาร ดังนั้นถ้าคิดจะรับประทานปลาดิบ ควรดูให้แน่ใจก่อนว่าขั้นตอนการประกอบอาหารสะอาดถูกหลักอนามัย เพื่อให้เกิดความมั่นใจ และ เพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อจากปลาดิบ

aor

                                                                                  PR  อ้อ ( レイコ )

04 ธันวาคม, 2551

อาหารวันขึ้นปีใหม่ お 正月料理

    

เนื่องจากใกล้เทศกาลวันขึ้นปีใหม่ ก็เลยอยากนำเสนอเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับปีใหม่ญี่ปุ่น นั่นคือ เรื่องอาหารวันขึ้นปีใหม่ お 正月 ( しょうがつ ) 料理 ( りょうり ) (Oshougatsu ryouri) นั่นเอง

お 正月 :しょうがつ           oshougatsu         วันขึ้นปีใหม่

料理 : りょうり                 ryouri                  อาหาร

ในวันขึ้นปีใหม่ของญี่ปุ่นนั้น บ้านคนญี่ปุ่นโดยทั่วไปมักจะมีอาหารพิเศษ ที่มักจะทานกันเฉพาะช่วงเทศกาลปีใหม่ เรียกว่า おせち料理 ( Osechi ryouri ) ซึ่งเป็นอาหารที่จะเริ่มทานกันในครอบครัวตั้งแต่เช้าวันที่ 1 มกราคม ถึงประมาณวันที่ 3 มกราคม 

นอกจากนั้นอาหารปีใหม่นี้ นับว่าเป็นอาหารเทศกาลที่มีราคาค่างวดค่อนข้างจะแพงทีเดียว โดยเฉพาะร้านอาหารที่มีชื่อเสียง บางร้าน สนนราคาประมาณ 3-5 หมื่นเยน บางร้านหรือบางชุดราคาเป็นแสนเยนเลยทีเดียว ทำไมเจ้าอาหารปีใหม่นี้ทำไมถึง เป็นที่นิยมสำหรับครอบครัวคนญี่ปุ่นนัก มีอะไรเป็นส่วนประกอบกันบ้าง และทำไมถึงมีราคาแพงนัก ลองมาดูกันเลยนะคะ

Osechi นั้นในสมัยก่อนเรียกว่า お節供 (Osechiku) ซึ่งเป็นคำที่มีความหมายถึงสิ่งของที่ถวายเทพเจ้าในช่วงเทศกาล หรือ 節句 (sekku) ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 5 เทศกาล คือ วันที่ 1 เดือน 1/ วันที่ 3 เดือน 3 / วันที่ 5 เดือน 5 / วันที่ 7 เดือน 7 และวันที่ 9 เดือน 9 ซึ่งต่อมาการทำอาหารถวายเทพเจ้าได้แพร่หลายในหมู่ประชาชนทั่วไป และได้ประชาชนได้ทำทานเอง ในช่วงเทศกาลปีใหม่ ทำให้มีการดัดแปลงการเรียกชื่อเป็น おせち( Osechi )

การทานอาหารปีใหม่นี้ ถือว่าเป็นการขอพรเพื่อให้ร่างกายมีสุขภาพแข็งแรงและนำมาซึ่งความสุขในช่วงหนึ่งปีจากนี้ไป การ เรียกชื่ออาหารปีใหม่ว่า Osechi ryouri นี้ สันนิษฐานว่าเพิ่งเริ่มใช้ในช่วงปลายสมัยเอโดะหรือประมาณ 200 กว่าปีมานี้เอง นับได้ว่าเป็นวัฒนธรรมการกินที่เกิดขึ้นมาใหม่ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมการกินดั้งเดิมของญี่ปุ่น

อาหารปีใหม่มักจะกล่าวกันโดยทั่วไปว่า เป็นอาหารที่ไม่ค่อยมีรสชาติ มีเนื้อสัตว์เป็นส่วนประกอบเพียงนิดหน่อย แถมยังมี จำนวนไม่มากอีกต่างหาก แต่หากมองในมุมกลับกัน อาหารปีใหม่ของญี่ปุ่นนั้นส่วนใหญ่เป็นอาหารที่ทำจากผักเสียเป็น ส่วนใหญ่ ดีต่อสุขภาพ แต่รูปร่างหน้าตาของอาหารปีใหม่ในแต่ละครัวเรือนก็มีหน้าตาที่แตกต่างกันออกไป

โดยตามธรรมเนียมเดิมแล้ว อาหารปีใหม่จะประกอบด้วยอาหาร 5 ชั้นด้วยกัน (เพราะส่วนใหญ่มักใช้ทานสำหรับ 3 วัน แต่ในปัจจุบันนี้ ไม่ค่อยเคร่งครัดเรื่องจำนวนชั้นของอาหารเท่าใดนัก ส่วนใหญ่มักให้ความสำคัญกับวัตถุดิบหลักที่นำมาใช้ ประกอบอาหารมากกว่า)

ส่วนประกอบหลักของอาหารปีใหม่ที่มีรูปร่างหน้าตาและเป็นที่นิยมกันอยู่ในปัจจุบันนี้ เริ่มมาตั้งแต่ช่วงปลายสมัยเอโดะ ซึ่งมักจะนำวัตถุดิบที่นำมาประกอบอาหารที่มีชื่อ หรือความหมายที่เป็นมงคล โดยทั่วไปมักประกอบด้วย

                 

錦たまご            nishiki tamago          เป็นอาหารสองสีที่ทำจากไข่ (เพราะไข่ขาวและไข่แดง)  เป็นคำ พ้องเสียงกับ nishiki

金平ごぼう         kinpira gobou kobou  เป็นผักประเภทหนึ่งที่มีความทนทาน และความแข็งมากชนิดหนึ่ง ซึ่งมีความหมายว่า ทานผักชนิดนี้แล้วจะทำให้ร่างกายแข็งแรง

里芋 : さといも    sato imo                  เผือก เนื่องจากเผือกมีหัวเล็กๆอยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้เปรียบเทียบกับการมีทรัพย์สมบัติ 

紅白なます         kouhaku namasu      ของหมักดองสีขาวแดง

紅白かまぼこ      kouhaku kamaboko   เนื้อปลาบดแล้วนึ่งเป็นก้อน มีสีขาวและแดงซึ่งเป็นสีมงคลใน การเฉลิมฉลอง ซึ่งเป็นพื้นฐานของอาหารปีใหม่

栗きんとん : くりきんとん    kuri kinton   ของหวานทำจากเนื้อลูกเกาลัด

伊達巻き:だてまき              date maki    อาหารที่นำไข่มาม้วน ซึ่งพ้องเสียงกับคำว่า 伊達 (date) ที่แปลว่า ความมั่งคั่ง

         

                紅白なます                                          栗きんとん

黒豆 : くろまめ    kuromame   ถั่วดำเม็ดใหญ่ ซึ่งมีเสียงพ้องกับคำว่า อยู่อย่างสงบ

数の子                 suu no ko    ไข่ปลา かど หมายความถึงการมีลูกหลานมากมาย เหมือนไข่ปลา

昆布 : こんぶ        konbu         สาหร่ายทะเลใบแข็ง มีเสียงพ้องกับ よろこぶ ที่หมายถึง ความยินดีปรีดา

田作り : たづくり    ta dukuri     มีความหมายถึงการสร้างปีแห่งความอุดมสมบูรณ์

かちぐり                kachiguri    เกาลัดตากแห้ง มีเสียงพ้องกับคำว่า 勝 (katsu) ชัยชนะ

鯛 : たい               tai             ปลาไท มีเสียงพ้องกับ めでたい ที่แปลว่า เฉลิมฉลอง

: だいだい         daidai        ผลไม้ประเภทส้ม มีเสียงพ้องกับคำว่า代々(daidai) หมายความถึง รุ่นต่อรุ่น ตีความหมายได้ว่า มีลูกหลานสืบสกุล ต่อไปหลายๆ รุ่น

                         

                                 อาหารปีใหม่แบบชั้นเดียว

                         

                                   อาหารปีใหม่แบบ 2 ชั้น

                         

                                   อาหารปีใหม่แบบ 3 ชั้น

                         

                                 อาหารปีใหม่แบบประยุกต์

meaw

                                                                                มะเหมี่ยวจัง C("O")D

ร้าน 100 円 (เยน)

100 Yen Shop สัญลักษณ์อย่างหนึ่งของญี่ปุ่น
ถ้าใครเคยไปญี่ปุ่น รับรองได้ว่าต้องคุ้นตาหรือเคยเข้าไปอุดหนุนที่ร้านร้อย   เยน (100 yen shop) ที่นี่มีทุกอย่างที่คุณอยากได้ (จริงๆค่ะ) ตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบจริงๆ และที่สำคัญนอกจากราคาจะถูกจนตาโตแล้ว คุณภาพถือว่าเหนือกว่าราคาอีกด้วย ด้วยคอนเซ็ปท์ที่ว่าของทุกชิ้นในร้านขายราคาเดียวกัน คือ 100 เยน คิดเป็นเงินไทยก็ 30 กว่าบาทเองค่ะ

100 yen

มาดูความเป็นมาของร้านร้อยเยนกันดีกว่าค่ะ เพื่อนๆคงจะคุ้นชื่อ “ไดโซ” กันใช่มั๊ยคะ นั่นละค่ะเป็นผู้ริเริ่มธุรกิจประเภทนี้ และก็มีสาขามาเปิดที่เมืองไทยแล้วเหมือนกัน อยู่เซ็นทรัล สาขาปิ่นเกล้าจ้า..แวะเวียนไปดูบรรยากาศกันได้เลยจ้า ตอนนี้ไดโซก็มีสาขากว่า 2,000 แห่งทั่วโลกแล้วค่ะ ภายใต้ชื่อว่า "The 100 Yen Shop Daiso." ในปี 1995 บริษัทมียอดขาย 23.3 พันล้านเยน และพุ่งขึ้นเป็น 200 พันล้านเยน ในปี 2000 ภายในช่วงเวลาแค่ 6 ปี บริษัทก็มีการเติบโตถล่มทลายกว่า 850% และทุกเดือนทางบริษัทก็ยังเดินหน้าขยายสาขาไปอย่างไม่หยุดยั้งค่ะ

มาดูประวัติและรายละเอียดเกี่ยวกับ “ไดโซ” กันดีกว่าค่ะ

100 Yen Shop ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2520 โดย นายฮิโรตาเก ยาโน ประธานบริษัท ไดโซ อินดัสเตรียล จำกัด ที่สามารถพัฒนาธุรกิจร้านค้าปลีก
ราคาเดียว จนเติบโต
ยอดขายทั่วโลกในสิ้นปี 2548 ประมาณ 120,000 ล้านบาท(อ่านว่า หนึ่งแสนสองหมื่นล้านบาท) มีสาขารวมทั้งสิ้น 3,100 สาขา แยกเป็นอยู่ในญี่ปุ่น 2,700 สาขา และเป็นสาขาในต่างประเทศรวม 16 ประเทศ จำนวน 400 สาขา
สาขาในต่างประเทศ เฉพาะเอเชีย ตอนนี้มี 6 ประเทศ ได้แก่ ไต้หวัน เกาหลี สิงคโปร์ มาเลเซีย ฮ่องกง และประเทศไทย
ซึ่งตอนนี้มีอยู่ 7 สาขา ภายใต้ชื่อ ร้านไดโซ ตัวอย่างเช่น
ร้านไดโซ สยามสแควร์
ร้านไดโซ เซ็นทรัลพระราม2
ร้านไดโซ เซ็นทรัลปิ่นเกล้า
และร้านไดโซ เซ็นทรัลบางนา เป็นต้น
ร้านไดโซ จะอยู่ภายใต้การดูแลของบริษัท ไดโซ ซังเกียว (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ก่อตั้งขึ้นใหม่ ด้วยทุนจดทะเบียน 160 ล้านบาท
มีผู้ถือหุ้นทั้งหมด 7 ราย ประกอบด้วย ไดโดมอน กรุ๊ป(ซึ่งเป็นเจ้าของร้านอาหารไดโดมอน) ถือหุ้น 35% ไดโซ ซังเกียว ประเทศญี่ปุ่น 30% เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น 20% บริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง 2% บริษัท สหพัฒนพิบูล 2% บริษัท ไอ.ซี.ซี.อินเตอร์เนชั่นแนล 3.5% และ บริษัท อีโตชู แมนเนจเมนท์ ไทยแลนด์ 7.5%

 

                                 aor

                                                                                   PR อ้อ  レイコ

21 พฤศจิกายน, 2551

ขนมหวานญี่ปุ่น

วากาชิ (Wagashi) ขนมหวานญี่ปุ่น

ขนมหวานญี่ปุ่นเรียกรวมกันว่า "วากาชิ" (Wagashi) มีมานานตั้งแต่สมัยนะระหรือประมาณ 1,300 ปีมาแล้ว แต่เฟื่องฟูสุดๆในช่วงเอโดะ (ปี ค.ศ. 1603-1867) โดยเฉพาะในเมืองเกียวโตและโตเกียว แต่ละร้านแข่งกันขายแข่งกันคิดขนมใหม่ๆจนกลายเป็นต้นตำรับของขนมญี่ปุ่น
ถึงจะได้ชื่อว่าเป็นขนมหวานประจำชาติ แต่ชาวญี่ปุ่นก็ไม่ได้กินวากาชิกันบ่อยๆ ประเภทกินตบท้ายมื้ออาหารแบบบ้านเรานั้นไม่มี เพราะเขานิยมกินผลไม้กันมากกว่า ส่วนวากาชินี้จะกินเป็นของว่างและในโอกาสพิเศษเมื่อมีพิธีการต่างๆเช่น พิธีแต่งงาน หรือพิธีชงชา
แรงบันดาลใจของพ่อครัวแม่ครัวในการสร้างสรรค์ขนมวากาชินั้นก็ได้มาจากธรรมชาติ ต้นไม้ ดอกไม้ การเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล เช่น ฤดูใบไม้ร่วงจะทำขนมคิคุโกะโระโมะรูปดอกเบญจมาศ ส่วนฤดูหนาวก็ทำยูคิโมจิ หรือโมจิหิมะ เป็นต้น
มาถึงการแบ่งประเภทของวากาชิกันบ้าง ซึ่งก็ไม่ได้แบ่งเป็นหมวดหมู่ชัดเจนเพราะขนมแต่ละชิ้นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต่ถ้าแยกตามวัตถุดิบและวิธีทำก็พอจะแบ่งแบบกว้างๆได้ตามนี้

โจ นะมะกะชิ (Jyo-Namagashi)

ขนมญี่ปุ่นส่วนใหญ่จัดอยู่ในกลุ่มนี้ เป็นแป้งห่อไส้ถั่วแดงบดหรือ "อัน" (An) แป้งที่นำมาห่อหุ้มมีทั้งแป้งท้าวยายม่อม แป้งข้าวเหนียว แป้งข้าวเจ้า ปั้นเป็นรูปทรงต่างๆทั้งดอกไม้ ผลไม้ พระจันทร์ ซึ่งจะออกแบบให้เข้ากับฤดูกาล ทั้งชื่อขนม ส่วนผสม รูปทรงและสีสัน เป็นสัญลักษณ์ที่ทำให้ผู้คนได้รู้ว่าฤดูกาลใหม่กำลังจะมาเยือน ตัวอย่างเช่น ซากุระโมจิ (โมจิสีชมพูห่อด้วยใบซากุระ) ซึ่งจะออกในช่วงฤดูใบไม้ผลิ

ฮิงะชิ (Higashi)


เป็นขนมแบบแห้ง เก็บไว้ได้นาน ทำจากแป้งข้าวเหนียว น้ำตาล และวาซัมบงโตะ (Wasambon-to) น้ำตาลผงที่ทำด้วยกรรมวิธีแบบดั้งเดิมผสมกันแล้วนำมาอัดในพิมพ์ ได้ขนมที่ผิวเป็นแป้งแห้งๆคล้ายขนมโก๋ เสิร์ฟในพิธีชงชา

เซมเบ้ (Sembei)

เป็นข้าวเกรียบสีน้ำตาล เคี้ยวกรุบกรอบ มีหลากรูปร่างหลายขนาด (ใหญ่ที่สุดที่เคยเห็นก็ขนาดเท่าแผ่นเสียง) แต่แบบยอดฮิตคือทรงกลมแบนเหมือนที่รองแก้ว ทำจากข้าวเหนียวนำมาปิ้ง แต่งรสด้วยโชยุและเกลือเป็นหลัก ราดหน้าด้วยงา สาหร่าย พริก เพิ่มกลิ่น เพิ่มรสให้อร่อยกันได้หลายแบบ นอกจากนี้ยังมีเซมเบ้แบบหวานหรือซาราเมะ เซมเบ้ (Sarame Sembei) ทำจากแป้งสาลี น้ำตาลและกลูโคส

โนะนะกะ (Monaka)

คือเวเฟอร์ไส้ถั่วแดง มีทั้งถั่วบดและแบบเต็มเม็ด ประกบด้วยแผ่นแป้งบางกรอบทำจากข้าวเหนียว ทำเป็นรูปวงกลม สี่เหลี่ยมดอกซากุระ และอีกสารพัดรูปแล้วแต่จะสร้างสรรค์ โดดเด่นที่ความกรอบกับความนิ่มผสานกับรสหวานๆมันๆ นอกจากไส้ถั่วแดงแล้วยังมีไส้ชาเขียวและถั่วอื่นๆด้วย

โยคัง (Yokan)

ใช้ส่วนผสมหลักคือวุ้นที่ได้จากสาหร่าย เรียกว่า คันเตน (Kanten) แบ่งได้ 2 แบบใหญ่ๆ คือ มิซุ โยคัง เป็นวุ้นใสๆแช่เย็น กินในฤดร้อนผสมผลไม้ลงไป ได้รสหวานเย็น หอมชื่นใจ อีกชนิดคือ มุชิ โยคัง เป็นวุ้นขุ่นๆ เนื้อนิ่มเหนียว ตัดเป็นชิ้นเหลี่ยมพอคำ ทำจากถั่ว เกาลัด หรือมันที่บดละเอียด แป้งสาลี น้ำตาล และคันเตน

มันจู (Manjyu)


เป็นขนมกลมๆแป้งด้านนอกที่ห่อทำจากแป้งมันเทศ (บางครั้งใช้แป้งโซบะ) ไส้เป็นถั่วบดและมีมันเทศหรือเกาลัดอยู่ตรงกลางไส้อีกที นำไปนึ่ง อบหรือย่าง จึงได้ขนมอร่อยโดยเฉพาะขนมโมมิจิมันจูที่เมืองมิยาจิมาโดดเด่นที่ห่อด้วยใบเมเปิล มีหลายไ ส้ทั้งถั่วแดงบด คัสตาร์ด ช็อคโกแลต ถือเป็นของเนของดังที่ไม่ว่าใครไปเยือนก็ต้องลองชิม

ดังโกะ (Dango)

มีเป็นสิบสูตร แต่ที่หน้าตาเหมือนลูกชิ้นเสียบไม้ที่เราเคยเห็นกันเรียกว่า คุชิ ดังโกะ ทำจากแป้งโมจิ บางครั้งก็ผสมเต้าหู้ลงไปในแป้งด้วย ปั้นเป็นลูกกลม เสียบไม้แล้วนำไปปิ้ง ได้ลูกชิ้นแป้งนุ่มๆเหนียวๆราดซอสโชยุ ซอสเต้าเจี้ยว หรือเกาลัดบด หรือจะโรยด้วยถั่วบดกับน้ำตาลทรายแดงก็เข้าท่า

ไดฟุกุ (Daifuku)

คนไทยเราชอบเรียกว่าโมจิไส้ถั่วแดง แต่จริงๆเขาเรียกขนมประเภทนี้ว่าไดฟุกุ แป้งด้าน นอกทำจากแป้งข้าวเหนียวนึ่งที่นำมาตีจนเหนียว (โมจิ) มีสีขาว เขียวและชมพู ส่วนไส้ก็เป็นถั่วแดง ที่พิเศษก็จะใส่ผลไม้ลงไป เช่น อิจิโกะ ไดฟุกุ (Ichigo Daifuku) เป็นโมจิไส้ลูกสตรอร์เบอร์รี่หอมหวาน อร่อยจับใจ นอกจากนั้นยังมีไส้เมลอนบดและไอศกรีมรสต่างๆด้วย

ไทยะกิ (Tai Yaki)


ขนมหน้าตาน่ารักรูปปลาตัวเท่าผ่ามือ เป็นขนมที่จำลองรูปแบบของปลากะพงแดง เรียกอีกชื่อว่า "แพนเค้กญี่ปุ่น" เนื้อแป้งแน่นและเหนียวนุ่ม นอกจากไส้ถั่วแดงมาตรฐานแล้วก็มีไส้เกาลัด ไส้มันหวานและอีกสารพัดไส้ รูปทรงก็มีสารพัดรูปเช่นกัน ทั้งรูปตุ๊กตา รูปกลมๆ แบนๆ ที่เรียกว่า อิมะกะวะ ยะกิ และที่เรารู้จักกันดีที่สุด โดรายากิ ขนมสุดโปรดของโดราเอมอนที่เป็นรูปฆ้องนั่นเอง

ได้รู้จักวากาชิหลายแบบหลากรสไปแล้ว ถ้าวันไหนเบื่อขนมแบบเดิมๆที่กินอยู่ ลองเปลี่ยนบรรยากาศมากินขนมญี่ปุ่นแกล้มชาเขียว แนะนำให้เลือกชารสเข้มออกขมสักหน่อย จะช่วยตัดความหวานจัดของขนมให้เหลือแค่หวานพอดีๆ...ไม่แน่นะ วากาชิอาจกลายเป็นขนมสุดโปรดของคุณก็ได้

                                                                                   deaw

                                                                                          เดียวจัง

17 พฤศจิกายน, 2551

หนาว หนาวที่ JAPAN

ในที่สุดก็ใกล้หน้าหนาวแล้วสินะ  ตอนนี้ที่ญี่ปุ่นใบไม้เปลี่ยนสีแล้ว  สวยงามมากเลย  ส่วนเรื่องอาหารการกินในช่วงนี้ ขอบอกว่าเป็นช่วงที่อาหารอร่อยมาก มีทั้งปลาซันมะ เห็ดมัทสึทะเกะ และอีกมากมาย  อืมมม... แล้วฤดูหนาวของญี่ปุ่นมันจะมีไปจนถึงเมื่อไหร่เนี่ย???

ฤดูหนาว. ธ.ค.-ก.พ. ฤดูหนาวของญี่ปุ่นเริ่มต้นในราวเดือนธันวาคมไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ เป็นช่วงฤดูกาลที่หนาวเย็น ทุกแห่งหนเต็มไปด้วยหิมะปกคลุมขาวโพลนอยู่ทั่วไป โดยเฉพาะในทางภาคเหนือ น้ำในแม่น้ำลำคลอง และทะเลสาป บางแห่งจะกลายเป็นน้ำแข็ง บรรดาเด็กและ ผู้ใหญ่ต่างพากันออกมาเล่นสเก็ตน้ำแข็งกันเป็นที่เบิกบาน ส่วนบนภูเขาก็จะมีการ เล่นสกีกันอย่างสนุกสนาน

ในเมืองซัปโปโร ที่เกาะฮอกไกโด จะมีงาน \"เทศกาลหิมะ" เฉลิมฉลองกันอย่างเต็มที่ เป็นงาน เทศกาลใหญ่ระดับโลกก็ว่าได้ มีการประกวดการปั้นหิมะ เป็นรูปสถาปัตยกรรม สิ่งก่อสร้างในประเทศต่าง ๆ นอกจากนี้เป็น ช่วงฤดูหนาวแห่งความสุขของครอบครัวอย่างแท้จริง ชาวญี่ปุ่นทุกคนรักฤดูหนาวรักการที่ทุกคนในครอบครัว จะได้มานั่งผิงไฟ รวมกันพูดคุยหยอกล้อเป็นความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่มีค่ามาก เด็ก ๆ ทุกคนต่างพากันรอนับวันสำคัญที่พวกเขาถือว่า เป็นวันที่ดีที่สุดในรอบปี นั่นคือ วันคริสต์มาสและวันปีใหม่ ทุกแห่งหนจะมีการประดับประดาด้วยไฟหลากสีสวยงาม น่าประทับใจยิ่งนัก อุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 1-8 องศา

อากาศเย็น ร่างกายก็มักจะอ่อนเพลีย เมื่อยล้า ที่ญี่ปุ่นจึงมีเทศกาล “Onsen” การอาบน้ำแร่ โดยคนญี่ปุ่นเชื่อว่า น้ำแร่มีสรรพคุณช่วยรักษาผิว บำรุงผิวให้เนียนขาว บรรเทาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อได้ดี เทศกาลอาบน้ำแร่ที่ญี่ปุ่นจะอาบรวมกันแช่น้ำแร่พูดคุย หยอกล้อกันตามประสาเพื่อนฝูง เป็นความสุขเล็กๆ น้อยๆ แต่มีค่ามาก

การแต่งกายอากาศเย็นมากๆ คนญี่ปุ่นจะใส่เสื้อโค้ท รองเท้าบูทหนา และทำให้ร่างกายอบอุ่นอยู่ตลอดเวลา โทนสีก็จะเป็นสีเข้มๆ

                                                      

   aor

                                                                                        PR อ้อ  レイコ

13 พฤศจิกายน, 2551

บะหมี่ บะหมี่ร้อนๆ จ้า \("O")/

ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องอาหารการกินเป็นอย่างมาก อาหารจะได้รับการตกแต่งอย่างปราณีต เน้นความสดและความสวยงาม ทำให้ผู้ที่ได้ชิมก็ได้รู้สึกว่าได้บริโภคความงามลงไปด้วย อิ่มตาและอิ่มท้องเลยละค่ะ ร้านอาหารในญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะแขวนโคมแดงอยู่หน้าร้าน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์การกินดื่มของญี่ปุ่น และอาหารที่นิยมทานกันในหมู่คนญี่ปุ่นที่จะนำเสนอกันในวันนี้ก็คือ "บะหมี่" คนญี่ปุ่นนิยมกินบะหมี่กันตลอดทั้งปี บะหมี่มี 3 ชนิดหลักๆด้วยกัน คือ โซบะ, อุด้ง และ โซเม็ง

โซบะ : ทำจากบักวีต เส้นจะมีสีน้ำตาลบาง ผู้คนนิยมทานโซบะกันมากที่สุด เพราะติดใจในแป้งบักวีต โดยเฉพาะรสชาติที่อร่อยของเส้นที่ไม่ผสมแป้งชนิดอื่นลงไปมากนัก โดยทั่วไปโซบะจะเสิร์ฟพร้อมวาซาบิ (wasabi) หอมหัวใหญ่ฝาน น้ำจิ้มทำจากมิริน (mirin-สาเกหวาน) และคัตสึโอะบูชิ (เกล็ดปลาแห้ง) โซบะแบบนี้หากเสิร์ฟแบบเย็นบนซารุหรือถาดไม้ไผ่ จะเรียกว่า ซารุโซบะ (zarusoba) ซึ่งเป็นอาหารยอดนิยมในหน้าร้อน

โซเม็ง : เป็นบะหมี่นิยมทานในหน้าร้อนเช่นกัน เส้นของโซเม็งทำจากข้าวสาลี (sobako-ข้าวสาลี) ดังนั้นเส้นจึงมีสีขาวนวลและเส้นจะบางกว่าโซบะ เส้นโซเม็งจะนุ่มสามารถดัดแปลงทำอาหารได้หลายอย่าง โซเม็งสามารถเสิร์ฟแบบโงะโมะคุ (gomoku-ห้ารส) โดยโรยไข่เจียวซอยเส้น ไก่ และผักต่างๆ หรือเสิร์ฟแบบโงะมะดาเระ (gomadare) ที่มีมะเขือยาว ปลา และชิโสะ (shiso) เป็นเครื่องเคียง เสิร์ฟแบบเย็นก็มี เรียกว่า ฮิยะชิ-hiyashi ที่ใส่แต่ซอสถั่วเหลืองผสมน้ำมันงา โซเม็งเป็นอาหารเบาๆที่ช่วยทำให้สดชื่นในหน้าร้อน

อุด้ง : เป็นอาหารยอดนิยมในหน้าหนาว อุด้งทำจากข้าวสาลี และมีเส้นหนาถึงหนามาก โดยจะเสิร์ฟพร้อมน้ำซุปซอสถั่วเหลืองร้อนๆ หอมหัวใหญ่ฝาน ผักชนิดต่างๆและไข่ อุด้งจะต่างจากโซบะและราเม็งเวลารับประทานตรงที่ ไม่ต้องจุ่มเส้นในน้ำซุปก่อนรับประทาน เส้นอุด้งจะมีขนาดเส้นที่ใหญ่และเหนียวนุ่มจึงให้ความอบอุ่นเป็นอย่างดีในหน้าหนาว

วิธีการกินบะหมี่ญี่ปุ่นให้อร่อย จะใช้ตะเกียบคีบและกลืนลงคอด้วยเสียงอันดังตามแบบญี่ปุ่น บางคนอาจจะเขินที่กินเสียงดัง ซู้ดซาด แต่ที่นี่ถือเป็นมารยาทที่ยอมรับกันทั่วไป ให้เกียรติแก่คนทำที่ทำบะหมี่อร่อยๆให้ทาน ผู้เชี่ยวชาญ(การกิน) กล่าวว่าเสียงยิ่งดัง ยิ่งอร่อย นะจะบอกให้...

meaw

                                                                              มะเหมี่ยวจัง C("O")D

24 ตุลาคม, 2551

มารู้จักกับแฟชั่นญี่ปุ่นกันเถอะ

มารู้จักกับแนวแฟชั่นญี่ปุ่นกันก่อน...
แฟชั่นวัยรุ่นสไตล์ญี่ปุ่นตอนนี้ที่มาแรงสุดๆ ก็คงจะเป็น เสื้อผ้าประเภท Gothic & Lolita และ Punk เรามาเริ่มรู้จักกันเลยดีกว่าว่าแต่ละสไตล์เป็นอย่างไร...

Gothic (โกธิค)

แฟชั่นแนวนี้ส่วนมากจะเน้นไปในเรื่องของโทนสีที่ดูขรึมๆ ลึกลับๆ ซึ่งเป็นแฟชั่นแบบ “Dark Style” มักจะเป็นสีดำซะส่วนใหญ่ แต่ก็อาจจะมีส่วนประกอบเป็นสีขาว หรือสีแดง ตามแต่สไตล์ของแต่ละคน
ที่มาของแฟชั่นแนวนี้มาจากทางยุโรปเหนือและแถบอังกฤษค่ะ ซึ่งต้นกำเนิดอยู่ที่ชาวพื้นเมือง เรียกว่า “ชาวโกธิค” ซึ่งเราจะเห็นแฟชั่นสไตล์นี้ในหนังผี เช่น พวกท่านเคาน์, แวมไพร์ หรือพวกแม่มดในเทพนิยายที่ดูเรียบแต่หรูนั่นเอง หรือถ้าใครเคยอ่านหนังสือการ์ตูนเรื่อง “หนุ่มหล่อเฟี้ยว แปลงโฉมสาว” (Yamatonadeshiko) ก็จะเห็นการแต่งการสไตล์ Gothic ในเรื่องด้วยนะคะ

Lolita หรือ Lolita Baby (โลลิต้า)

ส่วนมากแฟชั่นแนวนี้จะเป็นที่นิยมในกลุ่มวัยรุ่นสาวๆ มากกว่า เพราะจะออกแนวหวานแหว๋วเหมือนตุ๊กตาน่ารักนะคะ เสื้อผ้าในแนวนี้จะเน้นไปทางลูกไม้ ระบาย และสีผ้าที่ดูหวานๆ เช่น สีชมพู สีขาว ซะส่วนใหญ่
แฟชั่นแบบ Lolita คือการนำเอาแบบชุดของตุ๊กตาของเด็กผู้หญิงและชุดของเชื้อพระวงศ์ (พวกเจ้าหญิงน่ะคะ)นำมาประยุกต์ใช้กันให้เหมือนเจ้าหญิงน้อยๆในเทพนิยาย
แฟชั่นแนวนี้เป็นที่นิยมมากในผู้ดีสมัยก่อนในแถบยุโรป เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส และได้แพร่หลายไปในอีกหลายประเทศโดยเฉพาะญี่ปุ่น

Neo Lolita (นีโอโลลิต้า)

Neo Lolita เป็นการนำสไตล์ Lolita มาประยุกต์ให้เป็นแบบที่ทันสมัย แต่ยังคงความคลาสสิกเอาไว้ เป็นแฟชั่นที่ได้รับความนิยมมากในญี่ปุ่นโดยเฉพาะสาวๆ เพราะโทนสีจะหวานๆ นอกจากนั้นยังใช้ผ้าลายสก็อตมาตกแต่งอีกด้วย

Gothic & Lolita

แฟชั่นสไตล์ Gothic & Lolita คือ การนำเอาแฟชั่นแนว Gothic และ Lolita มารวมกัน โดยนำเอาความลึกลับของแนว Gothic และความหวานที่เป็นเอกลักษณ์ของแนว Lolita มาผสมผสานกันทำให้เกิดเป็นแนวใหม่ คือ Gothic & Lolita ที่เห็นเด่นชัดที่สุดคงจะเป็นเสื้อผ้าของ Mana วง Malice Mizer

Punk หรือ UK.Punk (พังค์)

แฟชั่นสไตล์ Punk เริ่มตั้งแต่ยุคปลายของปี’60 และถิ่นกำเนิดของแฟชั่นแนวนี้คือประเทศอังกฤษ สมัยนั้นจะเริ่มในกลุ่มเล็กในยุคที่มีการปฏิวัติและเหตุจลาจลกลางเมือง ซึ่งแนวนี้จะออกแนวรุนแรง เช่น มีการเจาะตามร่างกาย การเพ้นท์หรือสัก
แฟชั่นแนวนี้จะเน้นโทนสีดำเป็นหลัก นิยมทั้งผู้หญิงและผู้ชาย นิยมแต่งหน้าและเขียนตากับปากด้วยสีดำ โดยจะมีส่วนประกอบของผ้าที่เป็นตาข่าย และเศษผ้าลุ่ยๆ ส่วนเครื่องประดับส่วนใหญ่จะเป็นเข็มขัด โซ่และหมุดเหล็ก (ดูแล้วก็เท่ดี....อืม..ชมพู่จัง!~) โดยจะเห็นได้จากวงร็อกของอเมริกานั่นเอง
JAP’Punk (เจแปนพังค์)
เป็นพังค์ที่ประยุกต์ให้เข้ากับสไตล์ของญี่ปุ่น ต้นแบบมาจาก UK.Punk และการ์ตูนเรื่อง NANA ของ Ai Yazawa พังค์ในแบบญี่ปุ่นบางทีก็จะอาศัยประยุกต์ระหว่างผ้าลายญี่ปุ่นมาบวกกับการออกแบบในแนวพังค์

                   เป็นอย่าไรกันบ้างคะ สวยๆทั้งนั้นเลยใช่ไหมล่ะ  ไม่ว่าจะแนวไหนก็แล้วแต่  วัยรุ่นไทยก็อย่าเพิ่งสิ้นเปลืองกับเสื้อผ้ามากนะคะ สงสารเจ้าของเงินน่ะค่ะ เอาไว้คราวหน้าจะหาเนื้อหาสาระดีๆมาฝากกันอีกนะคะ  บ๊าย บาย

                                                                                aor

                                                                                PR อ้อ レイコ

19 ตุลาคม, 2551

L’Arc~En~Ciel: สายรุ้งอันสดใสบนฟากฟ้าดนตรี

ในประเทศที่ผู้คนเบื่อของเก่าและหันไปเห่อสิ่งใหม่ๆได้ง่ายดายอย่างประเทศญี่ปุ่นนั้น เป็นการยากที่วงดนตรีซักวงจะประสบความสำเร็จอย่างยาวนานเกินสิบปีได้ ถ้าวงๆอิงอยู่แค่ที่ “กระแส” วงนั้นจะเลือนหายไปตาม “กระแส” นั้นเอง แต่ถ้าวงพยายามสร้างเอกลักษณ์ของตัวเองขึ้นมาจนสำเร็จแล้ว วงๆนั้นก็จะสามารถยืนระยะอยู่ในวงการเพลงได้ต่อไป และ L’Arc~en~Ciel (ภาษาฝรั่งเศส แปลว่า สายรุ้ง) ก็หนึ่งในวงดนตรีที่ยืนหยัดมาได้อย่างยาวนานในวงการดนตรีญี่ปุ่น

L’Arc (ชื่อย่อ) เริ่มต้นโดยมีมือเบส เท็ตสุ (Tetsu) เป็นแกนนำ โดยไปดึงเอา ไฮoriconvn3ด์ (Hyde) นักร้องนำมาจากวงอื่น หลังจากรวมตัวได้ซักระยะ มือกีตาร์และมือกลองในตอนนั้นก็ได้ตัดสินใจลาออกจากวงไป ทำให้เท็ตสุต้องไปตามตัว เค็น (Ken) มือกีตาร์ที่รู้จักกันมานานมาแทน เค็นถึงกับตัดสินใจพักการเรียนด้านสถาปัตยกรรมก่อนเรียนจบแค่สองเดือนเพื่อมาร่วมกับวง และเท็ตสุก็ได้ดึงตัวมือกลอง ซากุระ (Sakura) มาร่วมวงแทน และสายรุ้งเส้นนี้ก็พร้อมที่จะผงาดท่ามกลางท้องฟ้าแล้ว 

พวกเขาออก Dune อัลบั้มแรกใต้สังกัดเพลงอินดี้ในปี 1993 และมันก็ได้รับความนิยมในระดับหนึ่ง และก็ไปเข้าตาแมวมองของของค่าย Ki/oon/Sony ทำให้พวกเขาได้รับโอกาสเซ็นสัญญากับค่ายใหญ่ในทันที และพวกเขาก็ออกอัลบั้มชุดที่สอง Tierra ในปีถัดมา และการที่ได้ออกผลงานกับสังกัดใหญ่ ทำให้พวกเขาเข้าถึงแฟนได้มากขึ้น วงค่อยๆเก็บเกี่ยวชื่อเสียงไปเรื่อยๆ

ในปี 1995 พวกเขาได้ออก Heavenly ที่เป็นอัลบั้มที่โทนของเพลงฟังดูสดใสขึ้นกว่าเดิม เพลงอย่าง Secret Signs ก็ได้อิทธิพลของเพลงแจ๊ซมาอย่างชัดเจน ในขณะที่เพลงป๊อปร๊อคอย่าง Vivid Colors ก็กลายเป็นซิงเกิ้ลที่ประสบความสำเร็จ

patipatijan200702alarcif2

และในปี 1996 พวกเขาได้ออกอัลบั้มที่4 ที่ชื่อ True ที่เต็มไปด้วยเพลงที่ยอดเยี่ยม Farewell บัลลาดเปิดอัลบั้มที่เศร้าพอที่จะเรียกน้ำตาได้จากทุกสิ่งมีชีวิต Lies and Truth เพลงที่ผสมร๊อคเข้ากับจังหวะเต้นรำได้อย่างลงตัว เพลงสดใสที่ทำให้มองเห็นแสงแห่งความหวังอย่าง I Wish ด้วยกระแสความแรง ทำให้True กลายเป็นอัลบั้มแรกของL’Arcที่สามารถทำยอดขายได้เกินหนึ่งล้านแผ่น

ดูเหมือนช่วงปี 1996 จะเป็นปีที่ยอดเยี่ยมของ L’Arc จากการที่พวกเขาดังจนฉุดไม่อยู่ แต่แล้ว เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นจนได้ ในช่วงต้นปี 1997 ซากุระถูกจับกุมตัวข้อหาใช้สารเสพติด ทำให้ต้องพ้นจากสภาพสมาชิกวง และเดินเข้าซังเตแทนเวที ทางวงหยุดกิจกรรมทางดนตรีทุกอย่าง และเก็บตัวเงียบ โดยมีการออกแสดงโดยใช้ชื่อแฝง the Zombies บ้าง เค็นอาศัยช่วงเวลานี้ไปลงเรียนต่อจนจบปริญญาตรี

แต่แล้ว พวกเขาก็ตัดสินใจกลับมาด้วยการแสดงคอนเสิร์ตที่ชื่อ Reincarnation 97 ที่โตเกียวโดมโดยมี ยูคิฮิโระ (Yukihiro) เป็นมือกลองแทน พวกเขาเปิดตัวเพลง Niji หรือที่แปลว่าสายรุ้งในงานคอนเสิร์ตครั้งนี้ และมันเป็นสัญญาณของการกลับมาอีกครั้งของสายรุ้งเส้นนี้

พวกเขาเลือกออกอัลบั้มที่ห้า Heartในปี1998 และจากนั้นไม่นาน ยูคิฮิโระก็กลายเป็นสมาชิกถาวรของวง และ Heart เป็นการกลับมาอย่างงดงามที่ทำให้ได้รู้ว่าแฟนเพลงยังคงอยู่ข้างเดียวกับพวกเขาเสมอ

หลังจากนั้น พวกเขาก็เริ่มสร้างปรากฏการณ์แปลกใหม่ขึ้นในวงการเพลงญี่ปุ่น เช่น การวางขายแผ่นซิงเกิ้ลทีเดียวสามแผ่นรวด การทำโฆษณาเป็นเหมือนละครชุดตลก โดยสมาชิกของวงเป็นแค่ตัวประกอบ หรือกระทั่งทำโฆษณาเลียนแบบประกาศสภาพการจราจรญี่ปุ่น แต่ทั้งหมดนั้นก็เพื่อปูทางให้กับความยิ่งใหญ่ที่กำลังจะมาถึง

หลังจากออกซิงเกิ้ลมาได้เป็นจำนวนหนึ่ง ทางวงตัดสินใจรวบรวมมันออกมาเป็นอัลบั้มคู่ Ark และ Ray โดยมีคอนเซปต์ว่า Ray คือแสงสว่างแห่งความหวัง และ Ark คือเรือของโนอาห์ที่จะนำเราไปสู่วันใหม่ และมันก็กลายเป็นงานที่ทำให้L’Arcกลายเป็นวงที่ระดับยักษ์ใหญ่ของวงการเพลงญี่ปุ่นจนได้ มันเต็มด้วยเพลงที่ยอดเยี่ยมทั้งหลายอย่าง Pieces, Dive to Blue, Driver’s High, Snowdrop หรือ Kasou

แต่จากการที่ขึ้นสู่จุดสูงสุดไป ทำให้ความกดดันถาโถมเข้ามาสู่พวกเขา Real งานชุดต่อมาในปี2000 ถูกบดบังโดยเงาของอัลบั้มก่อนหน้ามัน ทำให้ไม่เป็นที่สนใจมากนัก สมาชิกของวงเลยหันไปทำโปรเจ็คต์ส่วนตัวกัน โดย ไฮด์ออกงานเดี่ยว เท็ตสุก็ออกงานในนาม Tetsu69 เค็นจับมือกับซากุระออกงานในนาม Sons of all Pussys ส่วนยูคิฮิโระก็ออกงานเดียวในนาม Acid Android และพวกเขาก็ใช้เวลาช่วงนั้น ต่างคนต่างเขียนเพลง และเอามารวมเป็นอัลบั้มชุด Smile ในปี 2004 แต่เพราะว่าความไม่มีทีมเวิร์คในการทำเพลง ทำให้ Smile กลายเป็นอีกอัลบั้มที่น่าผิดหวังไปแม้จะมีเพลงดีๆอยู่บ้าง แต่มันก็ขาดสีสันไป

larc_photo

พวกเขารู้ข้อเสียนั้นดี จึงหันมาร่วมมือกันทำงานอย่างตั้งใจจนกลายมาเป็นงานที่ยอดเยี่ยมอีกครั้ง นั่นคือ Awake ในปี 2005 อัลบั้มที่อัดแน่นไปด้วยเพลงดีๆอย่าง Jiyuu eno Shoutai, Jojoushi, Lost Heaven หรือ Killling Me ในที่สุด พวกเขาก็กลับมาทวงบัลลังก์ได้อย่างงดงาม

และในปีนี้ พวกเขาก็ได้กลับมากับ Kiss งานชุดใหม่ที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้ชุดก่อนๆเลย มันอัดแน่นไปด้วยเพลงที่เคยไต่ชาร์ทเพลงของญี่ปุ่นมาแล้วทั้งนั้นอย่าง Seventh Heavenเพลงสนุกๆ My Heart Draws a Dream เพลงที่ให้ความหวังเหมือนแสงอาทิตย์หลังก้อนเมฆ Hurry Xmas เพลงจังหวะแปลกที่ทำให้เรานึกไปถึงงานเก่าๆของพวกเขา และ Link เพลงที่กล่าวถึงมิตรภาพได้อย่างสวยงาม

แม้จะผ่านมาเนิ่นนานหลายปี แต่สายรุ้งเส้นนี้ก็ไม่เคยหม่นหมอง แต่กลับจะยิ่งเจิดจ้าขึ้นไปบนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่นี้ไปยิ่งกว่าเดิม

sensei_nut

14 ตุลาคม, 2551

ภาษาญี่ปุ่นสนุกจัง

พี่เป็น PR ของเจ เลิร์นนิ่งนะคะ  พี่เองก็ได้เรียนภาษาญี่ปุ่นเหมือนกันนะ  ตอนแรกที่เรียนพี่คิดว่าต้องเรียนไม่ได้แน่เลยเพราะพี่ดูเหมือนว่ามันจะยากกกกมากกกก แต่พอเรียนๆๆไปมันก็ยากจริงๆแหละ ก็ภาษาญี่ปุ่นมันไม่ใช่ภาษาพ่อภาษาแม่อะนะ ตัวอักษรญี่ปุ่นก็จำไม่ค่อยได้ เวลาจะพูดก็จำคำศัพท์ไม่ได้อีก

มันน่าเศร้าใจไหมล่ะคะ ก็แหมพี่ไม่ค่อยได้ทบทวนสักเท่าไหร่ เพราะพี่มัวแต่ทำงาน เลิกก็เหนื่อยแล้ว  จริงๆแล้วต้องทบทวนทุกวันนะคะมันถึงจะเข้าสมอง     ( อย่าเลียนแบบพี่นะ ไม่ดีๆๆ ) แต่เวลาเรียนพี่ตั้งใจเรียนนะไม่ได้โม้  แต่ก็อ่ะนะ มันต้องทบทวนอ่ะพี่เรียนวันนี้จำได้ พรุ่งนี้ลืมและ  ( เหมือนปลาทองเลยเรา อิอิ )  มีอีกเรื่องพี่เองก็ฟังเซนเซออกนะ ( บางคำ 555 ) ไม่เสียแรงที่อุตส่าห์ไปร่ำเรียนมา พี่ชอบภาษาญี่ปุ่นมานานแล้ว ชอบประเทศ และวัฒนธรรม พี่ว่าของๆเค้าแปลกดีนะ น่าสนใจ น่าที่จะเรียนรู้เพิ่มเติม สำหรับน้องๆที่สนใจรียนภาษาญี่ปุ่น เจเลิร์นนิ่งพร้อมที่จะให้คำปรึกษานะค่ะ

                                                                   deaw

                                                       PR.เดียว デイオณ J'Learning

อักษรญี่ปุ่นมันมาจากไหน

ก่อนพ.ศ. 900 ภาษาญี่ปุ่นไม่มีระบบการเขียนเป็นของตนเอง หลังจากนั้น เริ่มปรับปรุงอักษรจีนมาใช้ คาดว่าผ่านมาทางเกาหลี ครั้งแรกภาษาญี่ปุ่นเขียนด้วยอักษรจีนโบราณ หรือรูปแบบผสมระหว่างจีนกับญี่ปุ่น ตัวอย่างของรูปแบบผสมเช่นโกจิกิ (kojiki:บันทึกประวัติศาสตร์) เขียนเมื่อ พ.ศ. 1255 พวกเขาเริ่มใช้รูปแบบอักษรจีนเขียนภาษาญี่ปุ่น ในรูปอักษรพยางค์ใบไม้หมื่นใบ (man'yōgana)

เมื่อเวลาผ่านไป ระบบการเขียนเป็นแบบใช้อักษรจีนเขียนคำยืมจากภาษาจีน หรือคำใหภาษาญี่ปุ่นที่มีความหมายใกล้เคียงกัน รูปแบบอักษรจีนยังใช้แทนการออกเสียงในการเขียนไวยากรณ์ และต่อมากลายเป็นอักษรแทนพยางค์ 2 ชนิดคือ ฮิระงะนะ และคะตะคะนะ วรรณคดีญี่ปุ่นปรากฏขึ้นเมื่อราว พ.ศ. 1600 เช่น เรื่องเล่าแห่งเคนจิ โดย มูราซากิ ชิกิบุ

ภาษาญี่ปุ่นสมัยใหม่เขียนด้วยรูปแบบผสมของฮิระงะนะ คะตะคะนะร่วมกับคันจิ หนังสือสมัยใหม่จะรวมโรมาจิ (อักษรโรมัน) ซึ่งเป็นรูปแบบมาตรฐานสำหรับการเขียนภาษาญี่ปุ่นด้วยอักษรโรมัน คำที่ไม่ใช่ภาษาญี่ปุ่นเขียนด้วยอักษรของภาษานั้นหรือหรือสัญลักษณ์ที่เรียกคิโกะ (kigō )

อ่านกันแล้วอาจจะมีงงๆบ้างแต่ไม่เป็นไรนะคะจะสรุปให้ฟังว่า อักษรญี่ปุ่นจะดัดแปลงมาจากภาษาจีน ไม่ว่าจะเป็นตัวฮิระงานะ ( ひらがな )  คะตะคะนะ          ( カタカナ)  หรือว่าคันจิ ( 漢字 )  ตัวคันจิส่วนใหญ่นั้นจะเลียนแบบลักษณะของสิ่งต่างๆ เช่น  魚 อ่านว่า sakana แปลว่าปลา ซึ่งจะสังเกตเห็นว่า ส่วนบนเป็นหัวปลา ส่วนกลางเป็นตัวปลา  ส่วนล่างเป็นหางปลา  และยังมีอีกหลายคำเลยที่เลียนแบบลักษณะต่างๆ 

เห็นไหมว่าภาษาญี่ปุ่นน่ะน่าเรียนแค่ไหน  เราสามารถใช้เทคนิคตรงนี้เป็นการจำตัวคันจิก็ได้  ภาษาญี่ปุ่นดูเหมือนว่าอาจจะยากมาก แต่ว่าถ้าได้มาเรียนแล้วอยากบอหว่าสนุกมากๆ 

พยายามดูนะคะ เพราะไม่มีใครเกิดมาแล้วเก่งทุกอย่างหรอก  ทุกอย่างจะเก่งได้ต้องฝึกฝนบ่อยๆค่ะ พี่เองก็ไม่ได้เก่งอะไรเพราะพี่เองก็กำลังฝึกปรือภาษาญี่ปุ่นอยู่เหมือนกัน  สู้ๆๆๆๆๆๆๆ がんばって......

 

                                                                             ple

                                                                      Plely` ณ  เจ เลิร์นนิ่ง

13 ตุลาคม, 2551

คำว่า ญี่ปุ่น เข้ามาในหัวเราตอนไหน?

เกริ่น... みんなさん こんにち (มินนะซัง คอนนิจิวะ) พยายามจะ ญี่ปุ่น ซะหน่อย ..ทุกครั้งที่ได้มีโอกาศพูดคำนี้ ยังมี เสียงแอบงงอยู่ในหัวว่า สวัสดีตอนเที่ยง หรือบ่าย หว่า? ถ้าเป็นคนไทยเราก็จะพูดกันว่าอยู่ทุกวันว่า สวัสดีครับ สวัสดีค่ะ นั่นละจบ

รอบๆตัว ... ลองมองดูรอบๆตัวมี พี่ๆ น้องๆ ญี่ปุ่น รอบล้อมอยู่มากมาย ตั้งแต่ลืมตาตื่นมาเห็นคำว่า SEIKO ติดอยู่ที่น้าปัดนาฬิกาที่แขวนอยู่ที่ฝาผนัง หรือของใครCACTYB0Tจะเป็น Casio ก็ไม่ผิด ลุกโงนเงนไปเปิดทีวี 14" นิ้ว (ยังมีคนใช้อยู่ด้วยหรอ) ยี่ห้อ Panasonic หรือที่เมื่อก่อนเราคุ้นกับชื่อ National  ซึ่งมีตั้งแต่ถ่านไฟฉาย ยัน ตู้เย็น(เท่าที่นึกออก) นี่แค่ในห้องเล็กๆของตัวเอง ทันทีที่ก้าวออกไปสู่โลกภายนอกเราก็จะเจอกับกองทัพ ผลิตภัณต์จากญี่ปุ่นเป็นขโยง Honda,Toyota,Yamaha,Toshiba, ฯลฯ
จะบอกว่าชีวิตเราเกี่ยวข้องกับ ญี่ปุ่น มาตั้งแต่อ้อนแต่ออกก็คงไม่ผิด แต่ครั้งแรกกับคำว่า ญี่ปุ่น ของเรา มันมาจากอะไรกัน ?

ย้อนนึก .. ภาพแรกที่ย้อนนึกกลับไปเห็นได้ก็คือ ฮีโร่ยอดมนุษย์ต่างๆ จีบัน อูลตร้าแมน และไอ้มดX  เซนต์ไซย่า และขบวนการมนุษย์ 5สี 3สี ต่างๆ ที่จำชื่อไม่ได้แล้วranger   aunpun CAOP83S7      เพราะมันเยอะเหลือเกิน (และ เด็กแก่แดดที่น่ารัก อย่าง ชินจัง) ตอนที่ดูตอนนั้นก็เริ่มรู้จักคำว่า ญี่ปุ่น เลาๆจาก พ่อ  แม่ แล้วว่า ไอ้พวกนี้ คือ ญี่ปุ่น นั่นละ ตอนนั้นเราก็จะเริ่มคิดว่า " ญี่ปุ่น นี่ดีเน๊อะ!! " น้อยคนที่จะไม่เคยรู้สึกแบบนั้น ยิ่งโตขึ้นเราก็จะได้รู้จักกับ ได้ใกล้ชิด กับคำว่า ญี่ปุ่น มากขึ้นตลอด ไม่เชื่อก็ลองมองดูรอบๆตัวเราดูสิ !!!

 
แล้วคนอื่นๆล่ะ เริ่มรู้รักคำว่า ญี่ปุ่น จากอะไรกันบ้าง พอจะนึกออกกันไหม...?

                                                                             p 
                                                                          P'Tsuke ณ J'Learning