24 ตุลาคม, 2551

มารู้จักกับแฟชั่นญี่ปุ่นกันเถอะ

มารู้จักกับแนวแฟชั่นญี่ปุ่นกันก่อน...
แฟชั่นวัยรุ่นสไตล์ญี่ปุ่นตอนนี้ที่มาแรงสุดๆ ก็คงจะเป็น เสื้อผ้าประเภท Gothic & Lolita และ Punk เรามาเริ่มรู้จักกันเลยดีกว่าว่าแต่ละสไตล์เป็นอย่างไร...

Gothic (โกธิค)

แฟชั่นแนวนี้ส่วนมากจะเน้นไปในเรื่องของโทนสีที่ดูขรึมๆ ลึกลับๆ ซึ่งเป็นแฟชั่นแบบ “Dark Style” มักจะเป็นสีดำซะส่วนใหญ่ แต่ก็อาจจะมีส่วนประกอบเป็นสีขาว หรือสีแดง ตามแต่สไตล์ของแต่ละคน
ที่มาของแฟชั่นแนวนี้มาจากทางยุโรปเหนือและแถบอังกฤษค่ะ ซึ่งต้นกำเนิดอยู่ที่ชาวพื้นเมือง เรียกว่า “ชาวโกธิค” ซึ่งเราจะเห็นแฟชั่นสไตล์นี้ในหนังผี เช่น พวกท่านเคาน์, แวมไพร์ หรือพวกแม่มดในเทพนิยายที่ดูเรียบแต่หรูนั่นเอง หรือถ้าใครเคยอ่านหนังสือการ์ตูนเรื่อง “หนุ่มหล่อเฟี้ยว แปลงโฉมสาว” (Yamatonadeshiko) ก็จะเห็นการแต่งการสไตล์ Gothic ในเรื่องด้วยนะคะ

Lolita หรือ Lolita Baby (โลลิต้า)

ส่วนมากแฟชั่นแนวนี้จะเป็นที่นิยมในกลุ่มวัยรุ่นสาวๆ มากกว่า เพราะจะออกแนวหวานแหว๋วเหมือนตุ๊กตาน่ารักนะคะ เสื้อผ้าในแนวนี้จะเน้นไปทางลูกไม้ ระบาย และสีผ้าที่ดูหวานๆ เช่น สีชมพู สีขาว ซะส่วนใหญ่
แฟชั่นแบบ Lolita คือการนำเอาแบบชุดของตุ๊กตาของเด็กผู้หญิงและชุดของเชื้อพระวงศ์ (พวกเจ้าหญิงน่ะคะ)นำมาประยุกต์ใช้กันให้เหมือนเจ้าหญิงน้อยๆในเทพนิยาย
แฟชั่นแนวนี้เป็นที่นิยมมากในผู้ดีสมัยก่อนในแถบยุโรป เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส และได้แพร่หลายไปในอีกหลายประเทศโดยเฉพาะญี่ปุ่น

Neo Lolita (นีโอโลลิต้า)

Neo Lolita เป็นการนำสไตล์ Lolita มาประยุกต์ให้เป็นแบบที่ทันสมัย แต่ยังคงความคลาสสิกเอาไว้ เป็นแฟชั่นที่ได้รับความนิยมมากในญี่ปุ่นโดยเฉพาะสาวๆ เพราะโทนสีจะหวานๆ นอกจากนั้นยังใช้ผ้าลายสก็อตมาตกแต่งอีกด้วย

Gothic & Lolita

แฟชั่นสไตล์ Gothic & Lolita คือ การนำเอาแฟชั่นแนว Gothic และ Lolita มารวมกัน โดยนำเอาความลึกลับของแนว Gothic และความหวานที่เป็นเอกลักษณ์ของแนว Lolita มาผสมผสานกันทำให้เกิดเป็นแนวใหม่ คือ Gothic & Lolita ที่เห็นเด่นชัดที่สุดคงจะเป็นเสื้อผ้าของ Mana วง Malice Mizer

Punk หรือ UK.Punk (พังค์)

แฟชั่นสไตล์ Punk เริ่มตั้งแต่ยุคปลายของปี’60 และถิ่นกำเนิดของแฟชั่นแนวนี้คือประเทศอังกฤษ สมัยนั้นจะเริ่มในกลุ่มเล็กในยุคที่มีการปฏิวัติและเหตุจลาจลกลางเมือง ซึ่งแนวนี้จะออกแนวรุนแรง เช่น มีการเจาะตามร่างกาย การเพ้นท์หรือสัก
แฟชั่นแนวนี้จะเน้นโทนสีดำเป็นหลัก นิยมทั้งผู้หญิงและผู้ชาย นิยมแต่งหน้าและเขียนตากับปากด้วยสีดำ โดยจะมีส่วนประกอบของผ้าที่เป็นตาข่าย และเศษผ้าลุ่ยๆ ส่วนเครื่องประดับส่วนใหญ่จะเป็นเข็มขัด โซ่และหมุดเหล็ก (ดูแล้วก็เท่ดี....อืม..ชมพู่จัง!~) โดยจะเห็นได้จากวงร็อกของอเมริกานั่นเอง
JAP’Punk (เจแปนพังค์)
เป็นพังค์ที่ประยุกต์ให้เข้ากับสไตล์ของญี่ปุ่น ต้นแบบมาจาก UK.Punk และการ์ตูนเรื่อง NANA ของ Ai Yazawa พังค์ในแบบญี่ปุ่นบางทีก็จะอาศัยประยุกต์ระหว่างผ้าลายญี่ปุ่นมาบวกกับการออกแบบในแนวพังค์

                   เป็นอย่าไรกันบ้างคะ สวยๆทั้งนั้นเลยใช่ไหมล่ะ  ไม่ว่าจะแนวไหนก็แล้วแต่  วัยรุ่นไทยก็อย่าเพิ่งสิ้นเปลืองกับเสื้อผ้ามากนะคะ สงสารเจ้าของเงินน่ะค่ะ เอาไว้คราวหน้าจะหาเนื้อหาสาระดีๆมาฝากกันอีกนะคะ  บ๊าย บาย

                                                                                aor

                                                                                PR อ้อ レイコ

19 ตุลาคม, 2551

L’Arc~En~Ciel: สายรุ้งอันสดใสบนฟากฟ้าดนตรี

ในประเทศที่ผู้คนเบื่อของเก่าและหันไปเห่อสิ่งใหม่ๆได้ง่ายดายอย่างประเทศญี่ปุ่นนั้น เป็นการยากที่วงดนตรีซักวงจะประสบความสำเร็จอย่างยาวนานเกินสิบปีได้ ถ้าวงๆอิงอยู่แค่ที่ “กระแส” วงนั้นจะเลือนหายไปตาม “กระแส” นั้นเอง แต่ถ้าวงพยายามสร้างเอกลักษณ์ของตัวเองขึ้นมาจนสำเร็จแล้ว วงๆนั้นก็จะสามารถยืนระยะอยู่ในวงการเพลงได้ต่อไป และ L’Arc~en~Ciel (ภาษาฝรั่งเศส แปลว่า สายรุ้ง) ก็หนึ่งในวงดนตรีที่ยืนหยัดมาได้อย่างยาวนานในวงการดนตรีญี่ปุ่น

L’Arc (ชื่อย่อ) เริ่มต้นโดยมีมือเบส เท็ตสุ (Tetsu) เป็นแกนนำ โดยไปดึงเอา ไฮoriconvn3ด์ (Hyde) นักร้องนำมาจากวงอื่น หลังจากรวมตัวได้ซักระยะ มือกีตาร์และมือกลองในตอนนั้นก็ได้ตัดสินใจลาออกจากวงไป ทำให้เท็ตสุต้องไปตามตัว เค็น (Ken) มือกีตาร์ที่รู้จักกันมานานมาแทน เค็นถึงกับตัดสินใจพักการเรียนด้านสถาปัตยกรรมก่อนเรียนจบแค่สองเดือนเพื่อมาร่วมกับวง และเท็ตสุก็ได้ดึงตัวมือกลอง ซากุระ (Sakura) มาร่วมวงแทน และสายรุ้งเส้นนี้ก็พร้อมที่จะผงาดท่ามกลางท้องฟ้าแล้ว 

พวกเขาออก Dune อัลบั้มแรกใต้สังกัดเพลงอินดี้ในปี 1993 และมันก็ได้รับความนิยมในระดับหนึ่ง และก็ไปเข้าตาแมวมองของของค่าย Ki/oon/Sony ทำให้พวกเขาได้รับโอกาสเซ็นสัญญากับค่ายใหญ่ในทันที และพวกเขาก็ออกอัลบั้มชุดที่สอง Tierra ในปีถัดมา และการที่ได้ออกผลงานกับสังกัดใหญ่ ทำให้พวกเขาเข้าถึงแฟนได้มากขึ้น วงค่อยๆเก็บเกี่ยวชื่อเสียงไปเรื่อยๆ

ในปี 1995 พวกเขาได้ออก Heavenly ที่เป็นอัลบั้มที่โทนของเพลงฟังดูสดใสขึ้นกว่าเดิม เพลงอย่าง Secret Signs ก็ได้อิทธิพลของเพลงแจ๊ซมาอย่างชัดเจน ในขณะที่เพลงป๊อปร๊อคอย่าง Vivid Colors ก็กลายเป็นซิงเกิ้ลที่ประสบความสำเร็จ

patipatijan200702alarcif2

และในปี 1996 พวกเขาได้ออกอัลบั้มที่4 ที่ชื่อ True ที่เต็มไปด้วยเพลงที่ยอดเยี่ยม Farewell บัลลาดเปิดอัลบั้มที่เศร้าพอที่จะเรียกน้ำตาได้จากทุกสิ่งมีชีวิต Lies and Truth เพลงที่ผสมร๊อคเข้ากับจังหวะเต้นรำได้อย่างลงตัว เพลงสดใสที่ทำให้มองเห็นแสงแห่งความหวังอย่าง I Wish ด้วยกระแสความแรง ทำให้True กลายเป็นอัลบั้มแรกของL’Arcที่สามารถทำยอดขายได้เกินหนึ่งล้านแผ่น

ดูเหมือนช่วงปี 1996 จะเป็นปีที่ยอดเยี่ยมของ L’Arc จากการที่พวกเขาดังจนฉุดไม่อยู่ แต่แล้ว เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นจนได้ ในช่วงต้นปี 1997 ซากุระถูกจับกุมตัวข้อหาใช้สารเสพติด ทำให้ต้องพ้นจากสภาพสมาชิกวง และเดินเข้าซังเตแทนเวที ทางวงหยุดกิจกรรมทางดนตรีทุกอย่าง และเก็บตัวเงียบ โดยมีการออกแสดงโดยใช้ชื่อแฝง the Zombies บ้าง เค็นอาศัยช่วงเวลานี้ไปลงเรียนต่อจนจบปริญญาตรี

แต่แล้ว พวกเขาก็ตัดสินใจกลับมาด้วยการแสดงคอนเสิร์ตที่ชื่อ Reincarnation 97 ที่โตเกียวโดมโดยมี ยูคิฮิโระ (Yukihiro) เป็นมือกลองแทน พวกเขาเปิดตัวเพลง Niji หรือที่แปลว่าสายรุ้งในงานคอนเสิร์ตครั้งนี้ และมันเป็นสัญญาณของการกลับมาอีกครั้งของสายรุ้งเส้นนี้

พวกเขาเลือกออกอัลบั้มที่ห้า Heartในปี1998 และจากนั้นไม่นาน ยูคิฮิโระก็กลายเป็นสมาชิกถาวรของวง และ Heart เป็นการกลับมาอย่างงดงามที่ทำให้ได้รู้ว่าแฟนเพลงยังคงอยู่ข้างเดียวกับพวกเขาเสมอ

หลังจากนั้น พวกเขาก็เริ่มสร้างปรากฏการณ์แปลกใหม่ขึ้นในวงการเพลงญี่ปุ่น เช่น การวางขายแผ่นซิงเกิ้ลทีเดียวสามแผ่นรวด การทำโฆษณาเป็นเหมือนละครชุดตลก โดยสมาชิกของวงเป็นแค่ตัวประกอบ หรือกระทั่งทำโฆษณาเลียนแบบประกาศสภาพการจราจรญี่ปุ่น แต่ทั้งหมดนั้นก็เพื่อปูทางให้กับความยิ่งใหญ่ที่กำลังจะมาถึง

หลังจากออกซิงเกิ้ลมาได้เป็นจำนวนหนึ่ง ทางวงตัดสินใจรวบรวมมันออกมาเป็นอัลบั้มคู่ Ark และ Ray โดยมีคอนเซปต์ว่า Ray คือแสงสว่างแห่งความหวัง และ Ark คือเรือของโนอาห์ที่จะนำเราไปสู่วันใหม่ และมันก็กลายเป็นงานที่ทำให้L’Arcกลายเป็นวงที่ระดับยักษ์ใหญ่ของวงการเพลงญี่ปุ่นจนได้ มันเต็มด้วยเพลงที่ยอดเยี่ยมทั้งหลายอย่าง Pieces, Dive to Blue, Driver’s High, Snowdrop หรือ Kasou

แต่จากการที่ขึ้นสู่จุดสูงสุดไป ทำให้ความกดดันถาโถมเข้ามาสู่พวกเขา Real งานชุดต่อมาในปี2000 ถูกบดบังโดยเงาของอัลบั้มก่อนหน้ามัน ทำให้ไม่เป็นที่สนใจมากนัก สมาชิกของวงเลยหันไปทำโปรเจ็คต์ส่วนตัวกัน โดย ไฮด์ออกงานเดี่ยว เท็ตสุก็ออกงานในนาม Tetsu69 เค็นจับมือกับซากุระออกงานในนาม Sons of all Pussys ส่วนยูคิฮิโระก็ออกงานเดียวในนาม Acid Android และพวกเขาก็ใช้เวลาช่วงนั้น ต่างคนต่างเขียนเพลง และเอามารวมเป็นอัลบั้มชุด Smile ในปี 2004 แต่เพราะว่าความไม่มีทีมเวิร์คในการทำเพลง ทำให้ Smile กลายเป็นอีกอัลบั้มที่น่าผิดหวังไปแม้จะมีเพลงดีๆอยู่บ้าง แต่มันก็ขาดสีสันไป

larc_photo

พวกเขารู้ข้อเสียนั้นดี จึงหันมาร่วมมือกันทำงานอย่างตั้งใจจนกลายมาเป็นงานที่ยอดเยี่ยมอีกครั้ง นั่นคือ Awake ในปี 2005 อัลบั้มที่อัดแน่นไปด้วยเพลงดีๆอย่าง Jiyuu eno Shoutai, Jojoushi, Lost Heaven หรือ Killling Me ในที่สุด พวกเขาก็กลับมาทวงบัลลังก์ได้อย่างงดงาม

และในปีนี้ พวกเขาก็ได้กลับมากับ Kiss งานชุดใหม่ที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้ชุดก่อนๆเลย มันอัดแน่นไปด้วยเพลงที่เคยไต่ชาร์ทเพลงของญี่ปุ่นมาแล้วทั้งนั้นอย่าง Seventh Heavenเพลงสนุกๆ My Heart Draws a Dream เพลงที่ให้ความหวังเหมือนแสงอาทิตย์หลังก้อนเมฆ Hurry Xmas เพลงจังหวะแปลกที่ทำให้เรานึกไปถึงงานเก่าๆของพวกเขา และ Link เพลงที่กล่าวถึงมิตรภาพได้อย่างสวยงาม

แม้จะผ่านมาเนิ่นนานหลายปี แต่สายรุ้งเส้นนี้ก็ไม่เคยหม่นหมอง แต่กลับจะยิ่งเจิดจ้าขึ้นไปบนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่นี้ไปยิ่งกว่าเดิม

sensei_nut